Teachers:Students and Grades ครู:นักศึกษาและผลการเรียน

เพื่อนๆและศิษย์รวมทั้งผู้ให้เกียรติเข้ามาอ่านทุกท่าน

อีกวันสองวันจะเปิดเทอม นึกถึงเรื่องการเรียนการสอน เลยนำเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นมาบอกเล่าแลกเปลี่ยนกัน เพราะคิดว่าอาจให้ข้อคิดกับหลายท่าน และเจ้าของบล็อคเองก็อยากฟังความคิดเห็นและประสบการณ์จากท่านอื่นๆบ้าง ถ้าเป็นไปได้อาจนำไปรวบรวมเป็นเล่มเพื่อเป็นธรรมทานต่อไปในอนาคต เรื่องที่โพสท์ไว้เที่ยวนี้อาจยาวนิดหนึ่ง สี่ห้าหน้าเพราะมาจากอีเมล์ที่โต้ตอบกันระหว่างผมในฐานะผู้สอนกับลูกศิษย์
หนึ่งรายที่เขาคิดว่าผมสมควรและอาจช่วยเขาได้ ลองอ่านดูแล้วช่วยแสดงความคิดเห็นมากันนะครับ

ขอบคุณครับ
อ.เมธี

แม้ผมเองก็เหมือนกับคนทั่วไปที่มีความเป็นตัวตน มีข้อที่ต้องปรับปรุงอยู่มาก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมถูกปลูกฝังมาจากครอบครัวตั้งแต่เด็ก คือความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ความมีศักด์ศรี การไม่ขอสิ่งใดจากคนอื่นโดยไม่ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะการร้องขอให้คนอื่นช่วยรู้สึกเห็นใจและสงสารตนเองเหมือนประจานระดับความสามารถของตนเอง ผมเชื่อในเรื่องเหตุและผล เชื่อในเรื่องการพึ่งตนเอง ยิ่งอะไรที่เกิดจากความผิดพลาดของตนเอง ต้องรู้จักยอมรับและไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปปริปากให้คนอื่นช่วยโดยเฉพาะขอให้ช่วยในลักษณะที่ต้องมีการละเมิดกฏเกณฑ์ความถูกต้องต่างๆ เมื่อโตขึ้น สถาบันการศึกษาทุกแห่งก็ย้ำในเรื่องความถูกต้องการรักษากฏเกณฑ์ข้อตกลงทางสังคม ผมจึงเป็นคนหนึ่งที่ยึดหลักการมาค่อนข้างตลอด และมีความรู้สึกขาดความนับถือต่อบุคคลที่ได้อะไรมาเพราะการขอร้องหรือหลบเลี่ยงกฏเกณฑ์ต่างๆ เช่นการวิ่งเต้น การใช้เส้นสาย การลอกข้อสอบ การขอคะแนน เป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างจะรังเกียจเอามากๆ อย่างไรก้ตาม ผมทราบดีว่าสังคมเรามีสิ่งต่างๆเหล่านี้ แต่ใช่ว่าเพราะมันมีอยู่ในสังคม เพราะคนหลายคนทำ มันจึงไม่ผิดหรอกหากเราจะทำ บางคนคิดแบบนั้น แต่ผมไม่เห็นด้วย เมื่อเรารู้ว่าอะไรไม่ดี ไม่ถูกเราก็ไม่ควรทำ ขืนเราทำตามไปด้วยก็แสดงว่าเราเองนั่นแหละสนับสนุนสิ่งนั้นอย่างเต็มตัวเสียแล้ว ถือได้ว่ามือถือสากปากถือศีล สิ่งที่ควรทำ แม้เราแก้คนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องห่วงจิตตน รักษาสิ่งดีๆในใจตนเองให้คงไว้ คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรก้เรื่องของเขา คนไหนบอกได้ แนะได้ก็ค่อยบอก แนะไม่ได้ บอกไม่ได้ก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว นั่นคือแนวคิดที่ยึดมาตลอด ในความเป็นครู ผมจึงรังเกียจการขอคะแนนมากที่สุด และได้พยายามอธิบายเด็กๆลูกศิษย์มาตลอด พยายามเดาใจ ดักความคิดผิดต่างๆ เตือนกันย้ำไปว่า เรื่องการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆหากอยู่ในขอบเขตที่จะพิจารณาได้ ผู้สอนเขาย่อมพิจารณาเอง และหากเรามีความดี มีความเอาใจใส่เพียงพอที่จะปรับคะแนนให้บ้างเล็กน้อย ในส่วนที่ไม่ใช่คะแนนสอบหรืออะไรที่ตายตัว อาจารย์ผู้สอนมักจะพิจารณาก่อนการตัดเกรดอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเกรดเมื่อคะแนนออกแล้ว ย่อมถึงที่สุด ไม่ต้องมาขอ มาอ้อนวอนให้อึดอัดกันอีก ปรากฏว่า ผมรอดปลอดภัยมาได้หลายสิบปี ไม่ค่อยมีนักศึกษามาอ้อนวอนอะไรมากมาย ขณะที่เห็นเด็กม้าออนคนอื่นบ้างประปราย ทำให้แอบภูมิใจในวิธีการและคำอธิบายของตน แต่มาเทอมหนึ่ง ปีการศึกษา 2553 นี้ สถิติ และความลำพองใจของผมถูกทำลายไป ด้วยจดหมายอีเล็คโทรนิคฉบับหนึ่ง


ผมได้นำจดหมายฉบับนี้รวมทั้งการโต้ตอบกันระหว่างผมกับศิษย์คนนี้ ที่ผมขอใช้ชื่อว่า คำนึง มาโพสท์ไว้ตรงนี้เผื่อจะเป็นประโยชน์หรือให้ข้อคิดแก่ผู้ที่ประกอบอาชีพครูผู้สอน และนักศึกษาบ้าง (ผมมีโครงการจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ในอาชีพครูโดยเน้นเฉพาะกรณีปฏิสัมพันธ์กับนักศึกษา ซึ่งก็หวังว่าจะสามารถรวบรวมเรื่องราวได้พอเพียงที่จะเริ่มงานได้ในเร็วๆนี้)



(1)

เรียนอาจารย์เมธีที่เคารพ


อาจารย์คะหนูชื่อคำนึง ถึงความคิด ค่ะ รหัส 48 หนูเพิ่งเข้ามาเช็คดูคะแนน วิชา Learning by Doing หนูได้คะแนน 57.44 อาจารย์คะ ตอนแรกหนูนึกว่าหนูจะได้ถึงซีอยู่ เพราะคิดว่าตั้งใจสุดๆ เพราะหนูคิดว่าเป็นวิชาที่ยากที่สุดสำหรับหนู หนูรีเกรดครั้งนี้รอบที่สามแล้วค่ะ แล้วครั้งนี้หนูคิดว่าหนูขยันวิชานี้ที่สุด แต่คะแนนหนูก็ไม่ถึงซี เพราะหนูจำเป็นอย่างมากที่จะต้องถึงซีในวิชานี้ ไม่งั้นหนูต้องได้เรียน 7 ปีแน่ค่ะ อาจารย์คะ หนูจะทำอย่างไรได้บ้างไหมคะ หนูไม่อยากเรียน 7 ปี แค่ 6 ปีก็แบบว่าทุกลักทุเลสุดๆ หนูอยากจบปีนี้จริงๆค่ะ อาจารย์ช่วยหนูได้ไหมคะ หนูอยากจบปีนี้จริงๆ หนูทำให้พ่อแม่ร้องไห้มาแล้วว่าทำไมไม่จบสักที ถ้าวิชานี้หนูไม่ถึงซี หนูก็ไม่จบค่ะอาจารย์ หนูพยายามอย่างมากกับวิชานี้ แม้หนูจะไม่ถนัดทางด้านสายภาษาก็ตาม แต่หนูก็ทำไม่ถึงซี ตอนนี้หนุเครียดมาก เพราะทุกวิชาที่หนูเรียนในเทอมนี้จำเป็นอย่างมากที่จะต้องได้ซี และคะแนนหนูก็ออกมาหมดแล้ว มีวิชาของอาจารย์วิชาเดียวค่ะที่ได้ไม่ถึงซี อาจารย์ช่วยพิจารณาหนูอีกรอบได้ไหมคะ ให้งานหนูมาเขียนใหม่ก็ได้ค่ะอาจารย์ เหลืออีกสองคะแนนกว่า ถึงจะได้ซี อาจารย์คะหนูอยากจบปีนี้แล้วค่ะอาจารย์ ไม่งั้นหนูก็ไม่มีเงินเรียนเป็นปี 7 แน่เลยค่ะ ขออาจารย์ช่วยพิจารณาด้วยเถอะนะคะ


ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำนึง ถึงความคิด



(To 1)

คำนึง


ได้รับจดหมายของเราแล้ว ครูต้องขอโทษที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่วางไว้และเราคุยกันชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้ว คะแนนที่พอจะให้ได้ก็ให้ไปกับทุกคน เมื่อรวมแล้วถึงไม่ติด F กันมากไง พยายามคิดให้ดีที่หนูว่าพยายามตั้งใจแล้ว มันติดตรงไหน เพราะแสดงว่ามันยังไม่พอ เอาใจใส่กับปัจจุบัน เพราะอดีตเรากลับไปแก้ไม่ได้ เกรดเขาผ่านการอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว ใครก็ตามที่ตามไปแก้โดยไม่มีเหตุผลตามหลักการก็คือกำลังทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ครูก็หวังว่าเราจะเข้าใจ ที่ครูพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่พยายามเข้าใจนะ และก็คิดว่าหนูอาจได้พยายามแล้วจริง แต่ทำไงได้เมื่อมันไม่ถึงก็คือไม่ถึง ตอนครูตัดเกรดครูต้องตัดเรื่องตัวตนออกไป ครูยึดคะแนนเป็นหลัก จะกลับมาดูบ้างเฉพาะรายที่คะแนนเฉียดฉิวเท่านั้น คะแนนหนูครูก็ดูแต่เห็นตกไปพอสมควร ต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะพิจารณา ก็เลยทำอะไรไม่ได้แล้วก็ตัดเกรดไป นั่นคือที่มาที่ไป ถ้าหากเราคิดว่าทำดีที่สุดแล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเอง ตั้งใจใหม่ หลายคนในโลกอย่าง เอดิสัน ที่ประดิษฐ์หลอดไฟ ไง เขาต้องทำใหม่เป็นพันๆครั้งก่อนจะได้ผล อย่าให้จำนวนตัวเลขจำนวนครั้งที่ไม่ได้ดังใจ มาทำลายกำลังใจตัวเอง บางทีครูคิดว่ามันอาจดีขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดแค่นั้นเอง ครูอาจช่วยได้ในเรื่องความเห็นคำแนะนำ หรือเรื่องอื่น แต่เรื่องที่ต้องทุจริตต่อหน้าที่ ด้วยการให้งานพิเศษแลกคะแนนเฉพาะรายครูไม่สามารถทำได้

อ.เมธี



(2)

ขอบคุณค่ะอาจารย์ หนูคงจะต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ แต่หนูคงต้องดรอปเรียนไปก่อน คงต้องรอเรียนเป็นปีหน้า ถ้าไม่มีเงินเรียน หลังจากนั้นคงต้องกลับมาตั้งใจให้มากกว่านี้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำอาจารย์ค่ะ อาจเป็นเพราะหนูยังไม่ขยันมากพอจริงๆ


ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำนึง ถึงความคิด



(To 2)

คำนึง
ครูดีใจนะที่หนูดูเหมือนจะพอเข้าใจ ในการทำหน้าที่ของแต่ละหน้าที่มันก็มีขีดจำกัด มีหลักการของมันอยู่ในทุกอาชีพทุกหลักการ บางทีหลักการกับอารมณ์ ความรู้สึกมันก็ขัดกัน ในการทำหน้าที่ครูก็เช่นกัน ใช่ว่ามันจะสะดวกใจไปเสียหมด ครูเองก็ไม่สบายใจนักหรอกเมื่อได้รับอีเมล์ฉบับแรกจากเรา

มันทำให้รู้สึกว่าตนเองอาจผิด อาจมีส่วนสร้างความลำบากให้คนอื่น ครอบครัวอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะคะแนนของเราก็ไม่ได้ตกไปจากจุดแบ่งที่ครูได้ดึงขึ้นมากนักทั้งที่ครูมั่นใจว่าได้พยายามทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาแล้ว ครูก็ต้องกลับไปดูข้อมูล พยายามนึกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรา เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของเรา ว่าครูได้บอก ได้สอนอะไรไปบ้าง พวก้ราเป็นอย่างไร หลังจากได้กลับไปคิดทบทวนทุกอย่างแล้วก็บอกตนเองว่า ทำดีที่สุดแล้ว

ในกรณีของหนูถ้าเทียบจากจุดหกสิบ จุดเกรดซี หนูก็ไม่ถึง และเกรดที่ได้ก็ไม่ได้ตก นักศึกษาที่ได้เกรดต่ำกว่าซีแต่ไม่ได้ติดเอฟจึงไม่จำเป็นต้องเรียนซ้ำหากนักศึกษารายนั้นทำเกรดในรายวิชาอื่นที่นับหน่วยกิตเท่ากันได้ บีขึ้นไป ครูเข้าใจอย่างนี้ ดังนั้นเมื่อเราไม่ถนัดวิชานี้ตรงนี้ แม้ว่าจะบอกพยายามเต็มที่แล้วหรือได้พยายามแล้วจริงๆ เมื่อคะแนนมันไม่ถึงก็คือไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ภาคเรียนนี้ครูก็ให้คะแนนในส่วน Reflection แบบค่อนข้างง่ายกว่าปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีขีด ไม่มีจุดยืนต้องช่วยอยู่เรื่อย มิต้องช่วยทุกคนหรือ แล้วมาตรฐานอยู่ตรงไหน ที่สำคัญไปกว่านั้น ครูพร่ำเตือน จนกลายเป็นการบ่นสำหรับหลายๆคน โดยครูบอกมาตลอดว่า ไม่ได้นะ ต้องอ่านต้องพยายามนะ อ่านหนังสือมากขึ้น อย่างน้อยให้มันพอตอบได้บ้างไม่ใช่ถามอะไรก็เงียบดังที่เป็นกัน ซึ่งสะท้อนว่าพวกเราได้ใช้ความพยายามหรือไม่ จริงหรือไม่ว่าตั้งใจเต็มที่แล้ว นั่นคือแนวการคิด สิ่งที่ครูคิดว่าเป็นเหตุเป็นผลในตัวเองพอประมาณ

แต่เมื่อมีนักศึกษาเขียนขอความเห็นใจมา มันก็บอกว่า เขายังไม่เข้าใจ ไม่ก็ครูคิดผิด หรือมีอะไรกว่านั้นครูก็เลยต้องคิดใหม่ ด้วยเกรงว่าจะมองข้ามอะไรไป อีกอย่างกลัวนักศึกษาไม่รู้จักการแยกแยะและไปติดยึดกับคะแนนกับเกรดเกินไป ครูก็เลยต้องพยายามหาทางอธิบาย เหมือนกับที่ครูกำลังพยายามอธิบายให้เราเข้าใจอยู่นี้ เมื่อรู้สึกว่าหนูพอจะเข้าใจ ครูถึงสบายใจและเบาใจขึ้น

ก็อยากจะบอกซ้ำว่า ชีวิต มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อะไร ไม่ว่าดี ชั่ว ทุกข์สุขมันก็เกิดขึ้นได้ เมื่อมันเกิดแล้วก็ใช่ว่ามันจะคงทน เราจึงไม่ควรไปคิดผิดว่ามันจะต้องเป็นไปตามที่เราคิดเสมอไปแม้บางครั้งที่เราได้ทำดีที่สุด เต็มที่ที่สุดแล้ว เมื่อมันไม่ใช่ ไม่เป็น มันก็อาจมีเหตุอื่นที่เราอาจมองไม่เห็นทำให้เป็นอื่นไปจากที่เราหรือคนรอบข้างคิดหรือคาดหวังก็ได้ แต่ชีวิตใช่ว่าจะสิ้นสุดลงในเวลานี้ วันนี้ เรายังต้องไปต่อ ใครจะไปรู้ว่าอาจมีอะไรดีๆรอเราอยู่ข้างหน้าก็ได้ การที่เราต้องดรอปไปก่อน อาจจะทำให้เราได้ไปทำงาน ไปเรียนรู้หรือไปพบใครที่มีความสำคัญต่อเราในอนาคตถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตเราก็เป็นไปได้ หรืออาจไม่พบใคร อาจพบอะไรที่หนักกว่า แต่พอเรากลับมาเรียนซ้ำอาจได้เรียนรู้ อะไรที่ใหม่ ที่มีคุณค่าก็เป้นไปได้ เหมือนที่ครูนำคลิปวิดิโอที่พ่อส่งลูกสี่คนออกไปดูต้นไม้คนละฤดูไง หากเพียงเพราะเราต้องผ่านต้องเจอหน้าฝน ที่ฝนตก พายุหนักจนน้ำท่วม ทางขาดทุลักทุเล แล้วเรายอมแพ้ไปก่อน เราจะมีโอกาสเห็นฟ้าหลังฝน ที่มีท้องฟ้าแจ่มใส พืชพันธ์ออกดอกออก ผลได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่เราต้องรู้จักมองชีวิต เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และเข้าใจความจริงว่า ปัญหา และทุกข์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด และก็ไม่ใช่ว่าชีวิตมันจะมีแต่ด้านเดียวเสียเมื่อไร ก็ดีแล้วนะที่ดูเหมือนเราพยายามจะเข้าใจและก็ใส่ใจกับปัจจุบัน ทำสิ่งที่อยู่ต่อหน้าให้ดีที่สุด ชีวิตยังยืนยาว ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เมื่อวันของเรามาถึง เราจะเห็นคุณค่าในความอดทน ของตนเอง


โชคดี

อ.เมธี



(MT 1)

คำนึง
วันนี้เป็นวันที่ 27 ตุลาคม 2553 ครูคิดว่าเราคงได้รับอีเมล์ครูแล้ว ตอนนี้ครูก็มั่นใจว่าเราจะมีความเข้าใจ มีความเข้มแข็งพอที่จะอยู่กับปัจจุบัน ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด ทุกอย่างไม่มีคำว่าสายหากเราคิดแก้ไข พัฒนาตนเอง และหลายครั้งที่ความผิดพลาดอาจนำไปสู่ความสำเร็จที่ดีกว่า เมื่อเราทำดีที่สุดแล้วก็อย่าไปเสียเวลากับความเสียใจ กับอดีต แต่ใช้อดีตเป็นฐานแห่งการเรียนรู้ แล้วจงก้าวต่อไป


ที่ครูเขียนมาตรงนี้ก็เพราะครูต้องการกึ่งขออนุญาตกึ่งแจ้งให้เราทราบว่า สิ่งที่เราเขียนไปถึงครู ก็เป็นบทเรียนหนึ่งที่ครูได้เรียนรู้เช่นกัน ครูเองคิดว่ามันมีประโยชน์ที่จะบอกเล่าแนะนำศิษย์คนอื่นๆต่อไป ครูจึงจะสำเนาข้อความที่เราเขียนไปถึงครูให้รุ่นน้องได้พิจารณาแลกเปลี่ยนความคิดกัน โดยพวกเขาจะไม่รู้ว่าผู้เขียนที่แท้จริงเป็นใคร เพราะครูจะใช้นามสมมุติแทน ทั้งนี้จุดมุ่งหมายหลักคือใช้สอนให้รุ่นหลังได้เรียนรู้ ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดที่จะทำให้เขาได้คิดตรงแนวทางและใช้ความพยายามมากขึ้น โดยที่ครูไม่ได้คิดที่จะใช้เรื่องราวของเราเพื่อการซ้ำเติมหรืออคติใดๆทั้งสิ้น เพราะทุกคนรวมทั้งครูก็ล้วนมีโอกาสผิดด้วยกันทุกคน ที่สำคัญครูก็เห็นในความจริงใจของเราในการบอกผ่านความคิดมาถึงครูและเมื่อครูได้ชี้แจงแล้วเราก็พยายามเข้าใจพอควร ไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองหรือมองจากมุมมองของตนเองเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งครูก็ต้องขอชมเชยเราในจุดนี้ด้วย ครูเขียนมาบอกเราล่วงหน้าเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการนำประสบการณ์ร่วมครั้งนี้ไปขยายผลต่อเพื่อการสอนคน ถือเป็นธรรมทาน เป็นการกุศลอย่างหนึ่ง

ทั้งนี้หากเรามีความเห็นต่างหรือไม่สะดวกใจ ไม่เข้าใจตรงไหนก็เขียนไปถามครูได้เช่นเคย
ครู (อ.เมธี)


(To MT 1)


ด้วยความยินดีค่ะอาจารย์ถ้าหากสิ่งไหนที่สามารถที่จะแบ่งปันประสบการณ์ให้น้องๆได้คิด ได้ขยันและไม่เป็นแบบรุ่นพี่หลายๆคน เขาก็คงจะได้คิดบ้างค่ะ

ตอนนี้หนูก็คงจะขยันเพื่อเทอมนี้ให้ดีที่สุด เพราะหนูอยากจบเทอมนี้แล้วจริงๆค่ะถ้าหนูมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเรียนคงจะได้ปรึกษาอาจารย์ในโอกาสต่อไปค่ะ


ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำนึง



( MT 2)

คำนึง


ขอบใจมากที่เข้าใจ และมีจิตเป็นกุศล ยินดีให้ครูนำอีเมลล์ของเราไปใช้ได้ ครูก็จะได้ใช้อย่างสบายใจ

เพราะหากเจ้าตัวไม่เข้าใจ ไม่เต็มใจการนำไปบอกเล่าบางครั้งมันก็ไม่สนิทใจทั้งๆที่เราทำด้วยความ

บริสุทธิ์ใจ เมื่อหนูเข้าใจและยินดีเช่นนี้จึงนับว่าช่วยให้งานของครูเดินต่อได้ด้วยดี ซึ่งก็ต้องขอบใจหนูด้วยถ้าจะแลกเปลี่ยนกันต่อ หากจะถามครูว่าถ้าหนูปฏิเสธมาครูจะนำไปใช้ไหม ก็คงบอกว่าครู
ก็คงนำไปใช้เช่นเดิม เพราะครูได้พิจารณาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ โดญเฉพาะครูเองไม่ได้มุ่งใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือประจานให้ร้ายใคร แต่ระหว่างที่ใช้ที่บอกเล่าครูก็คงขยายาความบอกความจริงออกไปอีกว่า ได้ถามเจ้าตัวเขาแล้วในการที่จะบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟัง ลองขอเขาตามมารยาทแล้วแต่เจ้าตัวเขาไม่อนุญาต ซึ่งแสดงว่าเขาก็คงมองต่างมุมออกไป คงยังไม่เข้าใจเรื่องการแยกแยะเรื่องส่วนตัว กับหลักการ อะไรทำนองนั้น

ที่ครูอธิบายตรงนี้ต่อนิดหน่อยก็เพราะ ต้องการยกเป็นตัวอย่างอีกสักครั้งว่า ครูเห็นแล้วว่าเราแยกแยะออก ระหว่างเรื่องส่วนตัวกับหลักการ ครูก็เลยขยายความต่อว่าโดยความเป็นตัวตนของครู ครูคิดอย่างไร และจะทำอะไรต่อ ด้วยเหตุผลอะไร ทำนองนั้น ทั้งนี้ครูเห็นว่า หากเราแน่ใจว่ามันไม่ผิดหลักการ ไม่ได้มุ่งร้ายใคร แม้จะขัดความรู้สึกของใครบางคน แม้แต่ตนเองบ้างเราก็ต้องทำ ยิ่งถ้าหากเราชอบและเห็นด้วยเรื่องความยุติธรรม ความตรงไปตรงมา และอยากให้ความยุติธรรมมันมี มันเกิดในสังคมด้วยแล้ว เราก็ต้องพยายามรักษาความยุติธรรม ความโปร่งใสในทุกเรื่องที่เราทำ หลักการนี้มีความสำคัญมาก

วันนี้เองพึ่งมีอาจารย์อีกท่านมาบ่นกับครูว่าถูกนักศึกษารายหนึ่งโทรต่อว่าต่อขานไม่หยุดเพราะเขาพลาดไปประมาณจุดศูนย์หนึ่ง แล้วอาจารย์ไม่ได้ช่วยเขาอะไรทำนองนั้น นี่เหตุมันเกิดเพราะนักศึกษารายนั้น ไม่ได้คิดว่ากว่าจะมาถึงจุดสุดท้าย ตนเองได้พยายามแค่ไหน (รายนี้ดูเหมือนติด F) และก็คิดจากมุมของตนเองเท่านั้น จึงเห็นเพียงแค่จุดศูนย์หนึ่ง แต่ถ้าเขามองในมุมกลับบ้างว่า เขาพลาดไปตั้ง 50.56คะแนนจากร้อย ทั้งที่มีคะแนนตั้งหลายส่วนหลายครั้ง ทั้งๆที่อาจารย์เคยเตือนเขาให้ขยัน และหากมันไม่มีขีดแบ่งถ้าเขาอ้างได้ว่าเขาขาดแค่จุดศูนย์หนึ่ง เพราะเขาได้ 49:44 แล้วคนที่ได้ 49.43 จะว่าไง เมื่อไรมันจะจบ สิ่งเหล่านี้ที่พวกครูพยายามจะอธิบาย พยายามเตือนพวกเราล่วงหน้า เมื่อมีกรณีเกิดขึ้นครูก็นำมาบอกเล่าขยายผลเพื่อส่งเสริมความคิดของลูกศิษย์ และเวลาที่ครูเล่าครูก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใครเหมือนอย่างที่ครูเล่าถึงนักศึกษาชายรายนี้ที่อาจารย์เขาเล่าให้ครูฟังวันนี้แหละ ในมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจอาจารย์เหมือนกัน เห็นว่าโทรมาหลายครั้งแล้ว บางทีก็ต่อว่าเอาต่อว่าเอาแล้วก็วางหูไปว่างั้น นี่แหละส่วนหนึ่งจากมุมของความเป็นครู ที่ครูคิดว่านักศึกษาน่าจะพยายามเข้าใจบ้าง

เมื่อเราเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจ และพยายามมองจากมุมของครูบ้างครูจึงดีใจ และอดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า แม้ครูจะตรงไปตรงมา และมีส่วนทำให้นักศึกษาผิดหวังอยู่บ่อยครั้ง ความจริงใจ ความตรงไปตรงมาที่ครูสื่อออกไปก็พอเป็นที่รับรู้ได้ว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความชอบไม่ชอบเป็นส่วนตัว หรือเกิดจากความต้องการจะแกล้งศิษย์ใดๆทั้งสิ้นและที่สำคัญไม่มีครูคนไหนหรอกที่อยากเห็นลูกศิษย์เป็นทุกข์หรือผิดหวัง แต่เราก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ มีหลักการที่ต้องยึดเมื่อศิษย์ที่พลาดทางการเรียนเข้าใจและขอคำปรึกษาเราจึงยินดี และพร้อมจะช่วยให้ความเห็นและคำแนะนำเสมอตราบใดที่ศิษย์รายนั้นๆเข้าใจและยอมรับในหลักการที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และทุกอย่างอยู่ที่เหตุผล และเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่จะนำมาปะปนกันไม่ได้ เมื่อครูได้อ่านอีเมล์เราที่ตอบยินดีให้ครูนำเคสของเราไปบอกเล่าแนะนำร่นน้องได้ ครูจึงดีใจ และก็รู้สึกอนุโมทนาในน้ำใจที่คิดถึงรุ่นน้องของเรา และก็ขออวยพรให้ความเข้าใจอันดี เจตนาในธรรมทานที่มีของเราจนช่วยดลให้เรามีความคิดที่แจ่มใจ มีความจำมีปัญญาดี พบความสำเร็จในการเรียนในครั้งต่อไป
ครู (อ.เมธี)



(To MT 2)

หนูชอบเวลาอาจารย์สอนแบบนี้จังเลยค่ะ มันเป็นข้อคิดที่ดีมากๆเลย บางครั้งมีหลายมุมที่เราหลงลืมไปบ้าง พอได้ข้อคิดจาจอาจารย์ในบางมุม มานั่งคิดทบทวน มันก็ใช่จริงๆ หนูรู้สึกดีใจค่ะ หนูคิดตั้งนานแล้วล่ะค่ะว่า การที่เราจะไปขอคะแนนน่ะ มันเป้นเรื่องที่ยากมาก เพราะการที่จะขอคะแนนจากอาจารย์สักคะแนนน่ะ มันอาจทำให้อาจารย์ลำบากใจได้ ทำไมตัวเราเองไม่ทำให้ดีซะตั้งแต่เริ่มแรก ถ้าเราขยันแค่สองเท่า ถ้าคิดว่ามันยังไม่พอก้ต้องเพิ่มเข้าไปอีก เป้น 4 เท่า ถ้าเราทำได้ เราก้จะได้ไม่มานั่งทุกข์ใจทีหลังใช่ไหมคะ หนูไม่เคยขอคะแนนอาจารย์เลย เพราะหนุรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หนูขอ หนูไม่กล้าโทรหาอาจารย์หนูเลยใช้การส่งเมลล์ คิดในใจว่า ลองเสี่ยงดูสักครั้ง เพื่อได้ เพราะมันจำเป็น แต่พอมานั่งคิดคิดอีกที เราทำได้ยังไง ไปขอคะแนนนอาจารย์ คิดแล้วก้ผิดค่ะ แต่อย่างไรก้แล้วแต่ ถ้าหนูไม่ขอคะแนนอาจารย์ หนุก้คงไม่ได้คุยกับอาจารยืแบบนี้ ก็ดีค่ะได้ข้อคิดคำสอนจากอาจารย์นอกห้องเรียน แม้จะไม่ได้นั่งในห้องเรียนก็ตาม ดีใจมากค่ะที่ได้คุยกับอาจารย์แบบนี้


ด้วยรักและเคารพ

คำนึง

2 comments:

  1. เรียนอาจารย์ที่เคารพ
    ผมมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการแปลรวมถึงวิชาอื่นๆด้วย ผมคิดว่าผมคงมีปัญหาทางสุขภาพจิต ชอบใจลอยเวลาเรียนไม่มีสมาธิผมควรทำอย่างไรครับ

    ReplyDelete